
ลองมานึกภาพน่ากลัวของหินกว้าง1 ไมล์ขึ้นไปชนโลกจะทำให้เกิดผลเสียหายอะไรได้ไหม ทำให้โลกเป็นแผลหรือที่เรียกกันว่าหลุมกว้าง10-20ไมล์เท่านั้นไม่พอ ยังเกิดอาการสั่นสะเทือนไปรอบๆโลกที่เรียกว่าแผ่นดินไหว ทำลายบ้านเรือน แรงระเบิดมีรัศมีหลายร้อยไมล์ ดินหินฝุ่นจะกระเด็นไปไกลและสูงในบรรยากาศ อาจบังแสงอาทิตย์หลายสิบปีหรืออาจเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง ถ้ามันเป็นการชนครั้งใหญ่พอ สมมุติฐานเรื่องดาวตกครั้งใหญ่ ที่ว่าไดโนเสาร์สูญพันธ์ไปเป็นเรื่องเล่าในบรรดาเหล่านักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องตลก เป็นเรื่องเศร้าปนสยองมากกว่า ขนาดไดโนเสาร์ยังเคยตายได้แล้วเราจะรอด หรือถ้าการชนครั้งหน้านั้นมันจะยิ่งใหญ่คล้ายๆกับคราวก่อน
ถ้ามันตกน้ำไปใช่ว่าจะปลอดภัย คลื่นยักษ์ซูนามิสหรือกำแพงยักษ์ของน้ำสูงหลายร้อยฟุต จะกวาดผู้คนทำลายทรัพย์สินมหาสมุทรมีมากกว่าแผ่นดิน ดาวตกใหญ่ๆอาจหล่นมหาสมุทรก็เป็นได้ ถ้ามันตกน้ำไปใช่ว่าจะปลอดภัย คลื่นยักษ์ซูนามิสหรือกำแพงยักษ์ของน้ำสูงหลายร้อยฟุต จะกวาดผู้คนทำลายทรัพย์สินเป็นจำนวนมากมาย ภาพเหล่านี้ดูคล้ายกับว่าอุกกาบาตทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เราอยู่ไม่รอด ช่างผิดกับอุกกาบาตที่ชอบชี้ชวนกันชมซึ่งเคยประมาทมันไว้ โลกชนกับดาวเคราะห์น้อยหรือวัตถุนอกโลกขนาดใหญ่พอที่จะถล่มทลายโลกได้ไหม ? ทำไมจะไม่ได้ ผิวของดวงจันทร์และดาวเคราะห์อื่นๆฟ้องว่าเคยชนกับวัตถุขนาดใหญ่มาก่อน และชนแล้วหลายๆหน อุกกาบาตชนโลกเสมอมาแต่ยังใหญ่ไม่พอที่จะทำลายโลก ยังไม่ประจวบเคราะห์หามยามร้ายที่มันจะหล่นใส่เมืองใหญ่ๆ แต่โชคจะยังดีตลอดไปหรือ เป็นเรื่องต้องคิดแล้ว
เราคิดผิดไปว่าอยู่บนโลกปลอดภัยแล้วหลุมอุกกาบาตบนโลกที่พบเห็นมีไม่มากเท่ากับที่ดวงจันทร์มี ก็ไปเทียบกับดวงจันทร์ได้อย่างไรเล่า ดวงจันทร์ไม่มีบรรยากาศ ไม่มีขบวนการเซาะพังทลายเหมือนที่โลกมี หลุมที่เกิดขึ้นแล้วก็คงทนเป็นหลุมตลอดไป เทียบกับดาวเคราะห์อื่นก็ชอบกล หลุมอุกกาบาตบนดาวพฤหัสไม่มีเลยทั้งๆที่เห็นข่าวมันชน กับดาวหางชูเมคเกอร์เลวีไนน์เมื่อปี 1994 แต่ดาวพฤหัสมันเป็นของหนืดก็กลบหลุมทันที โลกมีหลุมอุกกาบาตมากกว่าที่เห็นได้ การเซาะพังทะลายไม่ว่าจากคน ลมหรือฝน ทำลายหลักฐานที่อุกกาบาตชนโลกไปเสียมาก จนแปรสภาพไม่เหมือนเดิม ไม่ได้ฟ้องเราว่าเคยถูกชนมา จนเราคิดผิดไปว่าอยู่บนโลกปลอดภัยแล้วมาดูบันทึกเรื่องของหลุมอุกกาบาตใหญ่สุดๆบนโลกอาจเป็นหลุมใต้น้ำแข็งในแอนตาร์คติกลึก 400 กม . หลุมอุกกาบาตใหญ่มากที่พบในแคนาดาเต็มไปด้วยน้ำ หลุมอุกกาบาตที่เห็นชัดเจนที่ทะเลทรายอริโซนาเลยได้กลายเป็นหลุมที่ดังที่สุด กว้างเพียง 1 กม.เกิดเมื่อ 20,000 ปีมาแล้วมีชื่อตั้งให้ด้วยเรียกเครเตอร์บาร์ริงเจอร์ การระเบิดแรงมาก แต่โชคดีที่ตรงนั้นไม่มีบ้านเรือนตั้งอยู่ให้มันทำลาย พ.ศ.2451 กลางวันแสกๆ ยังมีอุกกาบาตลูกหนึ่งลุกสว่าง เห็นกันไกลหลายร้อยไมล์ ตกลงไปในป่าไซบีเรีย แรงระเบิดได้ยินไกล 600 ไมล์ ระยะทาง 100 ไมล์รับคลื่นช้อคกันทั่วหน้า มีต้นไม้ให้มันทำลายแทนบ้านเมือง ค้นไม่พบมวลลูกอุกกาบาตส่วนใหญ่ ที่ไซบีเรียปีพ.ศ.2490 อีกทีที่มีอุกกาบาต แต่มันแตกไม่มีชิ้นดีในบรรยากาศที่ตกลงสู่พื้นโลกเหมือนสายฝนเหล็กที่ไม่ชุ่มฉ่ำชื่นใจ บริเวณนั้นจึงมีรูเล็กร่วม 200 รูและมีรูใหญ่คือหลุมอีกหลายรู นี่หากได้ตกในเมืองคงมีความเสียหายและความตายที่ไม่น่าดู มีลูกอุกกาบาตอื่นที่ค้นพบแล้วกว่า 2000 ลูก หลุมอาจเห็นกันยาก และยิ่งค้นหาก็ยิ่งต้องพบมันมากขึ้นอุกกาบาตขนาดใหญ่พอๆกับลูกที่ตกในทะเลทรายอริโซนาหรือไซบีเรีย หากเกิดในเมืองใหญ่ ความเสียหายจะมโหฬารทีเดียว แม้ยังไม่เคยเกิดเพราะสมัยก่อนบ้านเมืองใหญ่โตหายาก แต่ตอนนี้บ้านเมืองใหญ่โตหาง่ายแล้ว ผู้ไม่ตกอยู่ในความประมาทย่อมหาหนทางแก้ไขวันเลวคืนเลวที่เป็นไปได้จากอุกกาบาต " เราอยู่กันบนโลกนี้ทั้งๆที่รู้ว่าโอกาสจะเกิดอุกกาบาตและแผ่นดินไหวทำลายโลกได้ทุกขณะ" ไอแซค อสิมอฟกล่าวไว้อย่างไม่ประมาท
เมื่อไม่มีหนทางจะไปอยู่ที่ไหนอื่นนอกจากบนโลกใบนี้ ก็ต้องหาทางปกป้องมันให้ดีก็แล้วกันหากดาวเคราะห์น้อยอยู่ในวงโคจรของมันตามปกติที่ว่าต้องกลับมาที่เก่าเสมอ เรารู้เส้นทางล่วงหน้า การเตรียมตัวป้องกันทำได้ง่าย โอกาสรอดก็มาก หากไปชนกับดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยอื่น จนมันต้องเปลี่ยนเส้นทางกระทันหันหรือมันต้องแตกแยกเป็นชิ้นส่วน เราไม่มีเวลาเตรียมการป้องกันตัว มันอาจเกิดการพุ่งเข้าชนโลก แม้โอกาสนี้ยังน้อย ยังไงก็ไม่น่าประมาท วันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2001 ตอนเย็นๆในชั่วโมงรีบเร่งมีวัตถุจากอวกาศปรากฏทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา เห็นจากรัฐเวอร์จิเนียถึงชายแดนแคนาดา มันเข้ามาในบรรยากาศเหนือรัฐเพนซิลวาเนียเวลา 18.19 น. และตกลงมาเสียดสีบรรยากาศลึกจนเกิดเสียงโซนิคที่ได้ยินตั้งแต่วิลเลียม สปอร์ตและบริเวณใกล้ๆ เสียงดังราวกับฟ้าผ่าแสบแก้วหู และบ้างก็คิดไปว่าลูกไฟนี้เป็นเครื่องบินจวนตก ในภาวะนาทีฉุกเฉินจ้าละหวั่น มันมีแมกนีจูด -20 ถึง -26 ที่สว่างราวกับดวงอาทิตย์ ดาวเทียมป้องกันภัยติดตามดาวตกหลายวินาที เริ่มทำงานเวลา 18.19 น. ทางเดินของดาวตกเริ่มจากสะครานตันเส้นแวง 75.6 องศาตะวันตก เส้นรุ้ง 41.5 องศาเหนือ เคลื่อนไปสิ้นสุดห่าง 140 กิโลเมตรทางตะวันตกจากวิลเลียมสปอร์ตที่ ตำแหน่งเส้นแวง 77.3 องศาตะวันตก เส้นรุ้ง 42.3 องศาเหนือ ลดระดับสูงจากพื้นดินตั้งแต่ 82 ถึง 32 กิโลเมตร วัตถุนี้น่าจะแตกไม่เป็นชิ้นดี คะเนความเร็วได้ราว 17-20 กิโลเมตร/วินาทีจากดาวเทียมและตัวเซนต์เซอร์รังสีใต้แดงคำนวณพลังงานสุกสว่าง 1.3 พันล้านจูลส์ที่เท่ากับระเบิดทีเอ็นที 3พันตัน นับเป็น 1/5 ของลูกระเบิดอะตอมมิคที่เมืองฮิโรชิมา ดาวตกที่ช่วงพลังงานระดับนี้ชนโลกราว 10 ครั้งใน 1 ปี วัตถุนี้ควรหนัก 30-90 ตัน ถ้ามันเป็นหินเหมือนดาวตกทั้งหลาย ควรมีขนาดเท่ารถบรรทุกขนาดเล็กคันหนึ่ง มีรายงานข่าวว่าชิ้นส่วนตกไปในทุ่งข้าวโพดทางเหนือของวิลเลียมสปอร์ต (Sky & Telescope, Nov,2001
ถ้าหากดาวเคราะห์น้อยขนาดกว้าง 5 ไมล์วิ่งด้วยความเร็วสูงมากสามหมื่นไมล์ต่อชม.และมีเวลาเตรียมตัวได้แค่ 6 วันแม้เคยเป็นจินตนาการมานานแล้วในภาพยนตร์ที่ชื่อ 2525 โลกาวินาศ(หรือดาวตกหรือเมทีออร์)(Meteor) ที่จินตนาการว่ามันชนโลกปีนั้น และยังมีจินตนาการอื่นๆอีกเร็วๆนี้เช่นในภาพยนตร์เรื่องอาร์มากาดอน และดีฟ อิมแพค (deep impact) เรื่องแบบในภาพยนต์นี้แม้เรายังเห็นว่าเกิดขึ้นยาก แต่ใครจะประกันว่าเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยเหตุผลที่ดีน่าพอใจ ไมใช่จะขอรับแต่เงินประกัน การใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่อยู่ในฐานทัพอวกาศของอเมริกา และรัสเซียหรือประเทศอื่นๆเพื่อหยุดอุกกาบาตให้ได้ เทคโนโลยีแบบนี้ไม่ไกลเกินมีผู้ไม่ประมาทคิดป้องกันโลกเพื่อเราทุกคนไว้นานแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2510 ก่อนดาวเคราะห์น้อยไอคารัสผ่านโลกใกล้ที่สุดปีพ.ศ.2511 สถาบันเอ็มไอที คิดหาวิธีการป้องกัน หากไอคารัสที่วิ่งเข้าชนโลกด้วยความเร็ว 100,000 ฟุต/วินาที เป็นไปได้ไหมที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากการชนโลกโดยมีเวลาเตรียมตัว 18 เดือน?
ในเมื่อย้ายโลกไม่ได้ก็ต้องย้ายมันละใช้อาวุธนิวเคลียร์ติดเข้ากับจรวดวิ่งเข้าชนให้มันเบนออกจากทางเดิม หรือไม่ก็แตกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อย่างที่ทำกันในภาพยนตร์เรื่องดัง หากทำได้สำเร็จทันการ คงได้พบกับความรู้สึกดีๆที่แท้จริงว่าวันดีคืนดีเป็นเช่นไรความคิดที่จะเปลี่ยนทิศทางธรรมชาติของดาวเคราะห์น้อยบางดวง เปลี่ยนให้ไกลจากโลกเลยเป็นเรื่องที่ทุกคนเห็นสมควรด้วย แต่ถ้าตั้งใจให้มันมาใกล้ชิดโลกมากขึ้น ก็ไม่ได้ต้องการให้มาชนโลก เหตุผลที่ดีๆนั้นคือเพื่อทำเหมืองสกัดแร่ที่หายากบนโลกแต่มีมากบนดาวเคราะห์น้อย หรืออาจเป็นที่อยู่ใหม่ในอวกาศ สถานีอวกาศ แหล่งกำลังและพลังงาน ฯลฯเทคโนโลยีที่จะเอามันเข้ามาไม่ยากกว่าเทคโนโลยีเอามันออกไป เพราะเป็นเทคโนโลยีอันเดียวกัน จากระบบขับดันหลายรูปแบบ ถ้าแน่ใจว่าเก่งแท้ มีฝีมือถึงขั้น พามาเข้าใกล้โลกเพื่อประโยชน์มหาศาลเมื่อใดก็ลงมือได้เลย เราจะได้ดูดาวเคราะห์น้อยใกล้ๆให้เต็มตาเสียที

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น